5. แล้วทูลกษัตริย์ว่า “หากฝ่าพระบาทจะทรงโปรด และหากผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของฝ่าพระบาท ขอทรงส่งข้าพระบาทไปยังเมืองในยูดาห์ซึ่งเป็นที่ฝังศพบรรพบุรุษของข้าพระบาทเพื่อจะสร้างเมืองนั้นขึ้นใหม่”
6. ขณะนั้นพระราชินีประทับอยู่ข้างๆ ด้วย กษัตริย์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า “เจ้าจะไปนานแค่ไหน? เจ้าจะกลับมาเมื่อใด?” เป็นอันว่ากษัตริย์ทรงโปรดเห็นชอบที่จะส่งข้าพเจ้าไป ดังนั้นข้าพเจ้าจึงกำหนดเวลาออกเดินทาง
7. ข้าพเจ้ากราบทูลด้วยว่า “หากทรงโปรด ขอประทานพระราชสาส์นให้ข้าพระบาทนำไปถึงบรรดาผู้ว่าการมณฑลที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติส เพื่อพวกเขาจะได้ช่วยให้ข้าพระบาทผ่านเขตแดนจนไปถึงยูดาห์อย่างปลอดภัย
8. พร้อมทั้งโปรดมีพระราชสาส์นไปยังอาสาฟผู้ดูแลป่าไม้หลวงให้มอบไม้สำหรับทำคานประตูป้อมใกล้พระวิหาร สำหรับกำแพงเมือง และสำหรับที่พักซึ่งข้าพระบาทจะอาศัยด้วยเถิด” แล้วกษัตริย์ทรงอนุมัติตามคำทูลขอ เพราะพระหัตถ์อันเปี่ยมด้วยพระคุณของพระเจ้าอยู่เหนือข้าพเจ้า
9. ข้าพเจ้าจึงไปพบบรรดาผู้ว่าการแว่นแคว้นต่างๆ ที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติส และมอบพระราชสาส์นแก่พวกเขา และกษัตริย์ได้ทรงส่งบรรดานายทหารและกองทหารม้าไปกับข้าพเจ้าด้วย
10. เมื่อสันบาลลัทชาวโฮโรนาอิมและโทบียาห์ข้าราชการชาวอัมโมนได้ยินเรื่องนี้ก็ไม่พอใจที่มีคนมาส่งเสริมสวัสดิภาพของชนอิสราเอล
11. หลังจากที่ข้าพเจ้ามาถึงเยรูซาเล็มได้สามวัน
12. ข้าพเจ้าออกไปในเวลากลางคืนและนำคนสองสามคนไปด้วย ข้าพเจ้าไม่ได้บอกใครเลยเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงดลใจข้าพเจ้าให้ทำเพื่อเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าไม่ได้นำสัตว์อื่นไปด้วยนอกจากตัวที่ข้าพเจ้าขี่ไป
13. ข้าพเจ้าออกไปทางประตูหุบเขาในเวลากลางคืน ตรงไปยังบ่อน้ำหมาใน ประตูกองขยะ ตรวจดูกำแพงเยรูซาเล็มซึ่งปรักหักพังและประตูที่ถูกเผาวอดวาย
14. จากนั้นข้าพเจ้าไปถึงประตูน้ำพุและถึงสระหลวง แต่สัตว์ที่ข้าพเจ้าขี่ไม่สามารถผ่านช่องปรักหักพังนั้นไปได้