1. พระดำรัสเกี่ยวกับบาบิโลนมีดังนี้ว่าผู้รุกรานมาจากถิ่นกันดารจากดินแดนน่าสะพรึงกลัวเหมือนพายุพัดกระหน่ำดินแดนภาคใต้
2. ข้าพเจ้าได้เห็นนิมิตอันน่ากลัว คือผู้ทรยศก่อการกบฏ โจรเข้าฉกชิงเอลามบุกโจมตี มีเดียเข้าล้อมเมืองเราจะยุติเสียงครวญครางทั้งปวงที่มันทำให้เกิดขึ้น
3. ถึงตอนนี้ กายของข้าพเจ้าบิดเร่าด้วยความเจ็บปวดความรวดร้าวจู่โจมข้าพเจ้าเหมือนความเจ็บปวดของผู้หญิงที่กำลังคลอดลูกข้าพเจ้าโซซัดโซเซเพราะสิ่งที่ได้ยินงงงันเพราะสิ่งที่ได้เห็น
4. หัวใจของข้าพเจ้าเต้นระทึก ตกใจกลัวจนตัวสั่นยามสนธยาที่ข้าพเจ้าใฝ่หากลับกลายเป็นความสยดสยอง
5. พวกเขาตั้งโต๊ะยกพรมมาปูเขากินและดื่ม!นักรบทั้งหลาย ลุกขึ้นเถิดเอาน้ำมันทาโล่!
6. องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า“จงวางยามไว้คอยดูแลและให้เขารายงานสิ่งที่เห็น
7. เมื่อเขาเห็นรถรบฝูงม้าคนขี่ลาหรือคนขี่อูฐเคลื่อนเข้ามาให้เขาตื่นตัวและเพ่งดู”
8. แล้วยามร้องบอกว่า“นายครับ ผมยืนเฝ้ายามที่หอคอยนี้วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า
9. ดูเถิด มีคนหนึ่งนั่งรถรบมาและมีม้ามาเป็นฝูงเขาตอบกลับมาว่า‘บาบิโลนล่มแล้ว!เทวรูปทั้งหมดของบาบิโลนแตกกระจัดกระจายอยู่ที่พื้น!’ ”
10. พี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าเอ๋ย ผู้ถูกบดขยี้ในลานนวดข้าวข้าพเจ้าก็บอกท่านถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ยินจากพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์จากพระเจ้าแห่งอิสราเอล
11. พระดำรัสเกี่ยวกับดูมาห์มีดังนี้ว่ามีคนร้องเรียกข้าพเจ้าจากเสอีร์ว่า“คนยาม กี่โมงกี่ยามแล้ว?คนยาม กี่โมงกี่ยามแล้ว?”
12. ยามตอบว่า“จะเช้าแล้ว แต่ก็จะมืดด้วยถ้าจะถามก็ถามมาเถิดแล้วค่อยกลับมาถามใหม่”
13. พระดำรัสเกี่ยวกับอาระเบียมีดังนี้ว่าเจ้าพวกกองคาราวานชาวเดดานผู้ตั้งค่ายในดงทึบแห่งอาระเบีย
14. จงนำน้ำมาให้ผู้กระหายประชากรเทมาเอ๋ยและนำอาหารมาให้ผู้ลี้ภัยเถิด
15. พวกเขาหนีจากดาบดาบที่ชักออกจากฝักหนีจากคันธนูซึ่งโก่งอยู่และจากสงครามอันดุเดือด