2. “บทบัญญัติซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาไว้มีดังนี้คือ จงแจ้งประชากรอิสราเอลให้นำวัวตัวเมียสีแดงไร้ตำหนิตัวหนึ่งที่ไม่เคยตกลูกและไม่เคยเทียมแอกมาให้เจ้า
3. จงมอบวัวตัวนี้แก่ปุโรหิตเอเลอาซาร์ มันจะถูกนำออกไปนอกค่าย และฆ่าต่อหน้าเขา
4. ปุโรหิตเอเลอาซาร์จะเอานิ้วจุ่มเลือดพรมมาทางหน้าเต็นท์นัดพบเจ็ดครั้ง
5. จงเผาวัวนี้ทั้งหนัง เนื้อ เลือด และไส้ต่อหน้าเขา
6. ปุโรหิตจะเอาไม้สนซีดาร์ กิ่งหุสบ และด้ายแดงโยนเข้าในกองไฟนั้น
7. จากนั้นปุโรหิตต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ เขาจะกลับมาที่ค่ายพักก็ได้ แต่จะเป็นมลทินตามระเบียบพิธีจวบจนเวลาเย็น
8. ผู้ที่เผาวัวนั้นก็ต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ และจะเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็นเช่นกัน
9. “ผู้ที่ไม่เป็นมลทินจะโกยเถ้าจากวัวตัวนั้นไปไว้ในที่ที่ไม่เป็นมลทินตามระเบียบพิธีนอกค่ายพัก ชุมชนอิสราเอลจะเก็บเถ้านี้ไว้ใช้ทำน้ำแห่งการชำระมลทินเพื่อล้างบาป
10. ผู้ที่โกยเถ้าจากวัวนั้นจะต้องซักเสื้อผ้าของตนและเป็นมลทินจวบจนเวลาเย็น นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปสำหรับทั้งชนอิสราเอลและคนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่พวกเขา
11. “ผู้ใดแตะต้องซากศพจะเป็นมลทินตลอดเจ็ดวัน
12. เขาต้องอาบน้ำชำระตัวในวันที่สามและในวันที่เจ็ด แล้วเขาจึงจะสะอาด มิฉะนั้นเขาจะเป็นมลทิน
13. ผู้ใดแตะต้องซากศพ แล้วไม่ได้ชำระตัว ผู้นั้นก็ทำให้พลับพลาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นมลทิน คนนั้นจะต้องถูกตัดออกจากอิสราเอล เขาไม่ได้รับการพรมด้วยน้ำแห่งการชำระจึงยังเป็นมลทินอยู่
14. “กฎที่ใช้เมื่อมีผู้เสียชีวิตในเต็นท์ คือผู้ใดที่เข้าไปในเต็นท์หรืออยู่ในเต็นท์จะเป็นมลทินไปตลอดเจ็ดวัน
15. ภาชนะใดๆ ในเต็นท์ซึ่งไม่มีฝาปิดก็เป็นมลทิน
16. “ผู้ใดที่อยู่กลางแจ้ง และไปแตะต้องซากศพคนที่ถูกฆ่าตายด้วยคมดาบหรือตายด้วยเหตุปกติวิสัย หรือไปแตะต้องกระดูกคนตายหรือหลุมฝังศพ เขาจะเป็นมลทินไปตลอดเจ็ดวัน