4. ถ้าพระองค์อยู่ในโลก พระองค์คงไม่ได้เป็นนักบวชหรอก เพราะนักบวชที่คอยถวายของขวัญตามกฎของโมเสสมีอยู่แล้ว
5. แต่พวกเขาทำงานรับใช้ในที่ที่เป็นแค่สิ่งที่เลียนแบบ และเป็นเงาของสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ เหมือนกับเมื่อโมเสสกำลังจะตั้งเต็นท์ พระเจ้าได้เตือนว่า “ระวังให้ดี ให้ทำทุกอย่างตามแบบที่ได้แสดงให้เจ้าดูบนภูเขา นั้น”
6. แต่งานในหน้าที่ของนักบวชที่พระเยซูได้รับนั้น ยิ่งใหญ่กว่างานของนักบวชพวกนั้นมากนัก เช่นเดียวกับคำสัญญาของพระเจ้าที่พระเยซูได้เป็นคนกลางนำมานั้น ก็ดีกว่าคำสัญญาเดิมมากนัก เพราะพระเจ้าได้ตั้งคำสัญญาใหม่นี้ไว้บนคำสัญญาที่ชี้ถึงสิ่งที่ดีกว่า
7. ถ้าหากคำสัญญาเดิมนั้นไม่บกพร่องแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องหาคำสัญญาอันที่สองมาแทน
8. แต่พระเจ้าติเตียนประชาชนชาวอิสราเอลว่า“องค์เจ้าชีวิตพูดว่า ‘เวลาที่เราจะทำสัญญาใหม่กับชาวอิสราเอล และชาวยูดาห์ กำลังจะมาถึงแล้ว
9. ซึ่งจะไม่เหมือนกับคำสัญญา ที่เราเคยทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาตอนที่เราจูงมือพวกเขาออกมาจากประเทศอียิปต์เพราะพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อคำสัญญาของเราอีกต่อไปเราจึงหันหลังไม่สนใจพวกเขา’ องค์เจ้าชีวิตพูดอย่างนี้แหละ
10. นี่เป็นคำสัญญาใหม่ที่เราจะทำกับประชาชนชาวอิสราเอลหลังจากเวลานั้น องค์เจ้าชีวิตพูดอย่างนี้เราจะใส่กฎของเราเข้าไปในจิตใจของพวกเขาเราจะเขียนพวกมันลงไปในหัวใจของพวกเขาเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นคนของเรา
11. เขาจะไม่ต้องมาสอนเพื่อนบ้าน หรือพี่น้องของเขาว่า‘มารู้จักองค์เจ้าชีวิตสิ’ เพราะตั้งแต่คนต่ำต้อยที่สุดจนถึงคนยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเขาทุกคนก็จะรู้จักเรา
12. เพราะเราจะยกโทษให้กับความชั่วของพวกเขาและเราจะไม่จดจำความบาปของพวกเขาอีกต่อไป” (เยเรมียาห์ 31:31-34)
13. เมื่อพระองค์เรียกคำสัญญานี้ว่า “อันใหม่” แสดงว่าพระองค์เคยทำให้คำสัญญาเดิมนั้นล้าสมัยไปแล้ว สิ่งที่ล้าสมัยและเก่าแก่ไปแล้ว ก็กำลังจะสูญหายไปในไม่ช้า