2. แต่ในยุคสุดท้ายนี้ พระองค์พูดกับเราผ่านทางพระบุตร พระบุตรนั้นเป็นผู้ที่พระองค์แต่งตั้งให้รับทุกสิ่งทุกอย่างเป็นมรดก พระเจ้าสร้างจักรวาลโดยผ่านทางพระบุตรด้วย
3. พระบุตรนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเป็นพิมพ์เดียวกับพระเจ้าทุกอย่าง พระบุตรใช้คำพูดอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ค้ำจุนทุกสิ่งในโลกไว้แล้ว เมื่อพระบุตรได้ล้างบาปให้มนุษย์เสร็จ พระองค์ได้นั่งลงทางขวามือของผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในสวรรค์
4. ดังนั้นพระบุตรจึงยิ่งใหญ่กว่าพวกทูตสวรรค์มากมายนัก เหมือนกับชื่อที่พระองค์ได้รับนั้นก็ยิ่งใหญ่กว่าชื่อของพวกทูตสวรรค์ด้วย
5. เพราะพระเจ้าไม่เคยพูดกับทูตสวรรค์องค์ไหนเลยว่า“เจ้าคือลูกของเราวันนี้เราได้เป็นพ่อของเจ้าแล้ว” (สดุดี 2:7)และพระเจ้าก็ไม่เคยพูดถึงทูตสวรรค์องค์ไหนด้วยว่า“เราจะเป็นพ่อของเขาและเขาจะเป็นลูกของเรา” (2 ซามูเอล 7:14)
6. เมื่อพระเจ้านำบุตรหัวปีของพระองค์มาที่โลกนี้ พระองค์พูดว่า
7. เมื่อพระเจ้าพูดถึงทูตสวรรค์ พระองค์พูดว่าและทำให้พวกทาสรับใช้ของพระองค์ เป็นเปลวไฟ” (สดุดี 104:4)
8. แต่พระเจ้าพูดกับพระบุตรว่า“ข้าแต่พระเจ้า บัลลังก์ของพระองค์ จะอยู่ถาวรตลอดไปและพระองค์จะปกครองอาณาจักรของพระองค์อย่างยุติธรรม
9. พระองค์รักความถูกต้องและเกลียดความชั่วนั่นเป็นเหตุที่เรา พระเจ้าของลูก ได้เจิมลูกด้วยการเทน้ำมันบนหัวเพื่อลูกจะมีเกียรติและมีความยินดีมากกว่าเพื่อนๆของลูก” (สดุดี 45:6-7)
10. พระเจ้ายังพูดอีกว่า“ข้าแต่องค์เจ้าชีวิต ในตอนเริ่มต้นนั้นพระองค์วางรากฐานของแผ่นดินโลกนี้และพระองค์สร้างฟ้าสวรรค์ด้วยมือของพระองค์เอง
11. สิ่งเหล่านี้จะสูญสลายไป แต่พระองค์จะยังคงอยู่สิ่งเหล่านี้จะเปื่อยไปเหมือนเสื้อผ้า
12. พระองค์จะม้วนสิ่งเหล่านี้เก็บเหมือนกับเสื้อคลุมสิ่งเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนไปเหมือนกับเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่พระองค์จะยังคงเหมือนเดิมและวันเวลาของพระองค์จะไม่มีวันสิ้นสุด” (สดุดี 102:25-27)
13. พระเจ้าไม่เคยพูดกับทูตสวรรค์องค์ไหนด้วยว่า“นั่งลงทางขวามือของเราสิจนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นที่วางเท้าสำหรับเจ้า” (สดุดี 110:1)
14. ทูตสวรรค์พวกนี้ เป็นวิญญาณที่รับใช้พระเจ้า ที่พระองค์ส่งไปช่วยคนที่กำลังจะได้รับความรอด ไม่ใช่หรือ