6. ใครที่ปลูกสวนองุ่นและยังไม่ได้รับประทานผลจากสวนองุ่นนั้น ให้ผู้นั้นกลับไปบ้าน เกรงว่าเขาจะตายเสียในสงคราม และคนอื่นจะรับประทานผลองุ่นนั้น
7. ใครที่หมั้นหญิงไว้เป็นภรรยาแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ให้ผู้นั้นกลับไปบ้านของตน เกรงว่าเขาจะตายเสียในสงคราม และชายอื่นจะได้แต่งงานกับเธอ’
8. และพวกนายทหารจะพูดกับประชาชนต่อไปอีกว่า ‘ใครที่กลัวและมีใจวิตก ให้ผู้นั้นกลับไปบ้านของตนเสีย เกรงว่าใจของพี่น้องของเขาจะละลายไปเหมือนกับใจของเขา’
9. เมื่อพวกนายทหารพูดกับประชาชนจบลงแล้ว ก็จงแต่งตั้งผู้บังคับบัญชากองทัพต่างๆ ขึ้นเป็นหัวหน้าประชาชน
10. “เมื่อท่านเข้าไปใกล้เมืองใดเพื่อจะสู้รบ จงร้องขอสันติภาพกับเมืองนั้น
11. ถ้าเขาตอบท่านอย่างสันติและเปิดรับท่าน ก็ให้ประชาชนทั้งหมดที่พบอยู่ในเมืองนั้นเป็นแรงงานเกณฑ์ของท่านและปรนนิบัติท่าน
12. ถ้าเมืองนั้นไม่ทำสันติภาพกับท่าน แต่ทำสงครามกับท่าน ก็ให้ท่านเข้าล้อมตีเมืองนั้น
13. เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานเมืองนั้นไว้ในมือท่านแล้ว ท่านจงฆ่าชายทุกคนเสียด้วยคมดาบ
14. แต่พวกผู้หญิงและเด็ก ฝูงสัตว์และทุกสิ่งในเมืองนั้น คือของที่ริบไว้ทั้งหมดท่านจงยึดเอาเป็นของตน ท่านจงบริโภคของที่ริบมาจากศัตรูของท่าน ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน
15. ท่านจงทำเช่นนี้แก่ทุกเมืองที่อยู่ไกลมากจากท่าน ซึ่งไม่ใช่เมืองของชนชาติเหล่านี้
16. แต่ในเมืองของชนชาติเหล่านี้ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านเป็นมรดก ห้ามไว้ชีวิตสิ่งใดที่หายใจได้
17. แต่จงทำลายเขาเสียให้สิ้นเชิง คือคนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงบัญชาไว้
18. เพื่อว่าเขาจะไม่สอนท่านให้ทำสิ่งพึงรังเกียจ ซึ่งเขาได้ทำต่อพระของเขา เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน
19. “เมื่อท่านล้อมเมืองหนึ่งอยู่หลายวันเพื่อจะสู้รบและยึดเอาเมืองนั้น ห้ามใช้ขวานฟันทำลายต้นไม้ของเมืองนั้น เพราะท่านจะรับประทานผลจากต้นไม้นั้น อย่าโค่นลงเลย ต้นไม้ในทุ่งนาเป็นมนุษย์หรือ? ท่านจึงไปล้อมโจมตีมัน
20. เฉพาะต้นไม้ที่ท่านทราบว่าไม่ใช้เป็นอาหาร ท่านจะทำลายและโค่นลงก็ได้ เพื่อจะใช้สร้างเครื่องล้อมเมืองซึ่งกำลังทำสงครามกับท่าน จนกว่าเมืองนั้นจะแตก