7. เพราะว่าพื้นดินที่ได้รับน้ำฝนอยู่เสมอ และทำให้เกิดพืชผักอันเป็นประโยชน์แก่คนที่เพาะปลูก ก็ได้รับพระพรจากพระเจ้า
8. แต่ถ้าพื้นดินนั้นผลิตต้นหนามใหญ่และหนามย่อย มันก็ไร้ค่าจนเกือบจะถูกแช่งสาป แล้วในที่สุดก็จะถูกเผาไฟ
9. แต่ท่านที่รักทั้งหลาย แม้พวกเราจะพูดอย่างนั้นเราก็เชื่อแน่ว่า ในกรณีของพวกท่านนั้นมีสิ่งที่ดีกว่า นั่นก็คือสิ่งที่เกี่ยวกับความรอด
10. เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงอธรรมที่จะทรงลืมการงานของพวกท่านและความรักที่พวกท่านแสดงต่อพระนามของพระองค์ คือการปรนนิบัติพวกธรรมิกชนนั้น ดังที่พวกท่านยังปรนนิบัติอยู่
11. และเราปรารถนาให้ท่านแต่ละคนแสดงความกระตือรือร้นอย่างเดียวกันจนถึงที่สุด เพื่อจะพบความสำเร็จตามที่หวังไว้
12. เพื่อไม่ให้พวกท่านเป็นคนเฉื่อยช้า แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้นที่โดยทางความเชื่อและความอดทน จึงได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้เป็นมรดก
13. เพราะเมื่อพระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมนั้น โดยเหตุที่ไม่มีใครเป็นใหญ่กว่าพระองค์ที่พระองค์จะทรงอ้างได้ในการสาบาน พระองค์ก็ทรงสาบานโดยอ้างพระองค์เอง
14. คือตรัสว่า“เราจะอวยพรเจ้า และจะให้เจ้าทวีมากขึ้นอย่างแน่นอน”
15. เช่นนั้นแหละ เมื่ออับราฮัมได้อดทนคอยแล้ว ท่านก็ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้นั้น
16. ส่วนมนุษย์นั้นสาบานโดยอ้างผู้ที่เป็นใหญ่กว่าตน และเมื่อเกิดการทุ่มเถียงอะไรก็ตาม ก็ต้องถือคำสาบานนั้นเป็นคำยืนยันขั้นสุดท้าย
17. ฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงประสงค์จะแสดงให้บรรดาผู้ที่ได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้เป็นมรดกรู้แน่ยิ่งขึ้นว่าพระดำริของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์จึงได้ทรงยืนยันพระสัญญานั้นด้วยคำสาบาน