10. พระองค์ตรัสว่า “ข้อความลึกลับเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านั้นทรงให้พวกท่านรู้ได้ แต่ทรงให้เป็นอุปมาสำหรับคนอื่น เพื่อว่า เมื่อพวกเขาดู ก็จะไม่เห็น และเมื่อพวกเขาฟัง ก็จะไม่เข้าใจ
11. “อุปมานั้นหมายถึงอย่างนี้ เมล็ดพืชหมายถึงพระวจนะของพระเจ้า
12. ที่ตกตามหนทางหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้ว มารมาชิงเอาพระวจนะไปจากใจของเขาเพื่อไม่ให้เขาเชื่อและรับความรอด
13. ที่ตกบนหินหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วก็รับพระวจนะนั้นด้วยความยินดี แต่ไม่มีราก เชื่อได้เพียงชั่วคราว เมื่อถูกทดลองก็หลงไป
14. ที่ตกกลางหนามหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้ว และขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่ ความกังวล ทรัพย์สมบัติ และความสนุกสนานของชีวิตนี้ ก็รัดพวกเขาจนทำให้ผลไม่เติบโต
15. ที่ตกในดินดีหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินพระวจนะแล้วจดจำไว้ด้วยใจที่ซื่อสัตย์ดีงาม จึงเกิดผลโดยความทรหดอดทน
16. “ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอาภาชนะครอบไว้หรือวางไว้ใต้เตียง มีแต่จะตั้งไว้ที่เชิงตะเกียงเพื่อให้คนที่เข้ามาได้เห็นแสงสว่างนั้น
17. เพราะว่าไม่มีอะไรที่ซ่อนไว้แล้วจะไม่ปรากฏให้เห็น และไม่มีอะไรที่ปิดบังแล้วจะไม่ถูกล่วงรู้หรือเผยให้ประจักษ์
18. เพราะฉะนั้น จงเอาใจจดจ่อต่อสิ่งที่พวกท่านได้ยินได้ฟัง คนที่มีอยู่แล้ว จะทรงเพิ่มเติมให้แก่คนนั้น แต่คนที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่เขาคิดว่ามีอยู่นั้น ก็จะทรงเอาไปจากเขา”
19. มารดาและพวกน้องชายของพระเยซูมาหาพระองค์ แต่ไม่สามารถเข้าถึงตัวพระองค์ได้เพราะคนมาก
20. มีคนทูลพระองค์ว่า “มารดาและบรรดาน้องชายของท่านยืนอยู่ข้างนอก ต้องการจะพบท่าน”
21. แต่พระองค์ตรัสกับพวกที่ชุมนุมกันในบ้านว่า “มารดาของเราและพี่น้องของเราคือคนเหล่านั้นที่ได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าและทำตาม”
22. อยู่มาวันหนึ่งพระองค์เสด็จลงเรือพร้อมกับพวกสาวกของพระองค์ แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “ให้พวกเราข้ามทะเลสาบไปฝั่งโน้น” พวกเขาก็ถอยเรือออกไป
23. ขณะกำลังแล่นไปนั้นพระองค์บรรทมหลับ และเกิดพายุหนักขึ้นกลางทะเล น้ำก็ทะลักเข้าเรือจนทุกคนตกอยู่ในอันตราย
24. พวกเขาจึงมาปลุกพระองค์ร้องว่า “พระอาจารย์ พระอาจารย์ เรากำลังจะจมน้ำตาย” พระองค์จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลมและคลื่น แล้วคลื่นลมก็หยุดเงียบสงบ
25. พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ความเชื่อของท่านทั้งหลายอยู่ที่ไหน?” เขาก็กลัวและอัศจรรย์ใจพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครนะ ถึงสั่งลมกับน้ำได้ และมันก็เชื่อฟังท่าน?”