3. ท่านจึงพูดกับญาติสนิทคนนั้นว่า “นาซึ่งเป็นส่วนของเอลีเมเลคญาติของเรานั้น นาโอมีผู้กลับมาจากดินแดนโมอับอยากขายเสีย
4. ข้าพเจ้าเองคิดว่า ข้าพเจ้าจะเปิดเผยให้ท่านทราบ และขอบอกว่าจงซื้อไว้ ต่อหน้าคนที่นั่งอยู่ที่นี่และต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ของชาวเมืองเรา ถ้าท่านจะไถ่ไว้ก็จงไถ่เถอะ ถ้าท่านไม่ไถ่จงบอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะได้ทราบ นอกจากท่านแล้วไม่มีใครมีสิทธิ์ไถ่ได้ ข้าพเจ้าเองมีสิทธิ์ถัดท่านไป” ผู้นั้นจึงบอกโบอาสว่า “ข้าพเจ้าจะไถ่เอง”
5. แล้วโบอาสบอกว่า “ในวันที่ท่านซื้อที่นาจากมือนาโอมีนั้น ท่านก็จะได้รูธชาวโมอับ แม่ม่ายของผู้ตายด้วย เพื่อนามของผู้ตายจะได้สืบต่อไปบนมรดกของเขา”
6. ญาติสนิทคนนั้นตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไถ่เพื่อตนเองอย่างนั้นไม่ได้ จะทำให้มรดกข้าพเจ้าเสียไป ท่านจงเอาสิทธิในการไถ่ของข้าพเจ้าไปไถ่เองเถอะ เพราะข้าพเจ้าไถ่ไม่ได้แล้ว”
7. ต่อไปนี้เป็นธรรมเนียมในอิสราเอลสมัยก่อน เกี่ยวกับการไถ่และการแลกเปลี่ยน คือเพื่อยืนยันข้อตกลงทุกเรื่อง คนหนึ่งจะถอดรองเท้าข้างหนึ่งของเขาเองมอบให้อีกคนหนึ่ง นี่เป็นการแสดงพยานหลักฐานในอิสราเอล
8. ดังนั้นเมื่อญาติสนิทคนนั้นกล่าวแก่โบอาสว่า “ท่านจงซื้อเองเถิด” เขาก็ถอดรองเท้าข้างหนึ่งของเขาออก
9. แล้วโบอาสจึงกล่าวแก่พวกผู้ใหญ่และประชาชนทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายเป็นพยานในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าได้ซื้อทรัพย์สินทั้งหมดของเอลีเมเลค และทรัพย์สินทั้งหมดของคิลิโอนและมาห์โลนจากมือนาโอมีแล้ว
10. ทั้งรูธชาวโมอับแม่ม่ายของมาห์โลน ข้าพเจ้าก็จะได้มาเป็นภรรยาของข้าพเจ้า เพื่อจะดำรงนามของผู้ตายไว้บนมรดกของเขาสืบต่อไป เพื่อนามของผู้ตายจะไม่ถูกตัดออกจากพวกพี่น้องของเขา และจากบ้านเกิดเมืองนอนของเขา ท่านทั้งหลายเป็นพยานแล้วในวันนี้”
11. ประชาชนทั้งปวงที่อยู่ที่ประตูเมืองและพวกผู้ใหญ่กล่าวว่า “เราเป็นพยานแล้ว ขอพระยาห์เวห์ทรงทำให้หญิงนั้นที่กำลังจะเข้ามาในบ้านของท่าน เหมือนนางราเชลและนางเลอาห์ หญิงทั้งสองซึ่งช่วยกันสร้างวงศ์ตระกูลอิสราเอล ขอให้ท่านเจริญในเอฟราธาห์และมีชื่อเสียงในเบธเลเฮม