24. ก็ให้ชุมนุมชนตัดสินความระหว่างผู้ฆ่าคนและผู้แก้แค้นแทนโลหิตตามกฎหมายนี้
25. ให้ชุมนุมชนช่วยผู้ที่ฆ่าคนให้พ้นจากมือของผู้แก้แค้นแทนโลหิต ให้ชุมนุมชนนำตัวเขากลับไปยังเมืองลี้ภัยที่เขาหลบหนีไปอยู่นั้น ให้เขาอาศัยอยู่ที่นั่นจนกว่ามหาปุโรหิตผู้ได้รับการเจิมด้วยน้ำมันบริสุทธิ์จะถึงแก่กรรม
26. แต่ถ้าเมื่อไรที่ผู้ฆ่าคนออกจากเขตเมืองลี้ภัยซึ่งเขาหนีเข้าไปอยู่นั้น
27. และผู้แก้แค้นแทนโลหิตพบคนนั้นที่นอกเขตเมืองลี้ภัย แล้วผู้แก้แค้นแทนโลหิตฆ่าผู้ฆ่าคนนั้น เขาก็ไม่มีความผิดจากการฆ่าคน
28. เพราะว่าผู้ฆ่าคนนั้นต้องอยู่ในเขตเมืองลี้ภัยจนกว่ามหาปุโรหิตจะถึงแก่กรรม หลังจากมหาปุโรหิตถึงแก่กรรมแล้ว ผู้ฆ่าคนนั้นจึงจะกลับไปยังที่ดินซึ่งเขาถือกรรมสิทธิ์อยู่นั้นได้
29. “สิ่งเหล่านี้จะเป็นหลักเกณฑ์แห่งกฎหมายของเจ้าตลอดไป ในทุกๆ ที่ที่เจ้าอาศัยอยู่
30. ใครก็ตามที่ฆ่าคน ก็ให้ฆาตกรนั้นถูกประหารชีวิตตามปากคำของพยาน แต่อย่าประหารใครด้วยพยานเพียงปากเดียว
31. ยิ่งกว่านั้น ห้ามเจ้ารับค่าไถ่ชีวิตของผู้ฆ่าคนที่มีความผิดถึงตาย เพราะเขาต้องตายแน่นอน
32. และห้ามเจ้ารับค่าไถ่ของคนที่หลบหนีไปยังเมืองลี้ภัย เพื่อให้กลับมาอยู่ในที่ดินของเขาก่อนที่มหาปุโรหิตจะถึงแก่กรรม
33. ดังนั้นพวกเจ้าจึงจะไม่ทำให้แผ่นดินที่เจ้าอยู่เป็นมลทิน เพราะโลหิตทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน และไม่มีอะไรที่จะชำระแผ่นดินให้หมดมลทินจากโลหิตที่หลั่งลงบนนั้น นอกจากโลหิตของผู้นั้นที่ทำให้โลหิตหลั่งลง
34. ห้ามเจ้าทำให้แผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่ซึ่งเราเองก็อยู่ท่ามกลางนั้นเป็นมลทิน เพราะว่าเราคือพระยาห์เวห์ผู้อยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล”