4. อย่าเป็นเหมือนบรรพบุรุษของเจ้า ซึ่งบรรดาผู้เผยพระวจนะคนก่อนๆร้องบอกเขาว่า ‘พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า จงหันกลับเสียจากทางชั่วของเจ้า และจากการกระทำที่ชั่วของเจ้าเถิด’ พระเจ้าตรัสว่า แต่เขาไม่ได้ยินและมิได้ฟังเรา
5. บรรพบุรุษของเจ้า เขาอยู่ที่ไหน พวกผู้เผยพระวจนะเล่า เขามีชีวิตอยู่เป็นนิตย์หรือ
6. แต่ถ้อยคำของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้บัญชาแก่ผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรา ก็ได้ติดตามบรรพบุรุษของเจ้าทันมิใช่หรือ” จนเขากลับใจแล้วกล่าวว่า “พระเจ้าจอมโยธาทรงดำริว่าจะทรงกระทำแก่เราประการใด ในเรื่องทางและการกระทำของเราพระองค์ทรงกระทำแก่เราอย่างนั้น”
7. เมื่อวันที่ยี่สิบสี่เดือนที่สิบเอ็ด ซึ่งเป็นเดือนเชบัท ในปีที่สองแห่งรัชกาลดาริอัส พระวจนะของพระเจ้ามายังเศคาริยาห์ ผู้เผยพระวจนะบุตรเบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรอิดโด และเศคาริยาห์กล่าวว่า
8. “ณ กลางคืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้มองดู และดูเถิด มีชายคนหนึ่งขี่ม้าสีแดงยืนอยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียว ที่ลานหุบเขา ณ เบื้องหลังท่านผู้นั้นมีม้าสีแดง สีแสด และสีขาว
9. แล้วข้าพเจ้าจึงถามว่า ‘นายเจ้าข้า เหล่านี้คืออะไร’ ทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าบอกข้าพเจ้าว่า ‘เราจะสำแดงให้เจ้าทราบว่า เหล่านี้คืออะไร’
10. เหตุฉะนั้นชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียวจึงบอกว่า ‘เหล่านี้คือผู้ที่พระเจ้าทรงใช้ให้ไปเที่ยวตรวจตราโลก’
11. และเขาเหล่านั้นได้ตอบทูตสวรรค์ของพระเจ้าผู้ยืนอยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียวว่า ‘เราได้ตรวจตราโลกแล้ว ดูเถิด ทั้งโลกก็นิ่งสงบอยู่’
12. แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้ากล่าวว่า ‘ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา อีกนานเท่าใด พระองค์จะไม่ทรงเมตตากรุงเยรูซาเล็มและหัวเมืองแห่งยูดาห์ ซึ่งพระองค์ก็ทรงกริ้วมาเจ็ดสิบปีแล้วพระเจ้าข้า’
13. และพระเจ้าทรงตอบทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนากับข้าพเจ้า เป็นพระวาทะที่ประเสริฐและเล้าโลมใจ
14. ทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนาอยู่กับข้าพเจ้าจึงกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ‘จงร้องว่า พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เรามีความหวงแหนกรุงเยรูซาเล็ม คือกรุงศิโยนเป็นที่ยิ่ง
15. เราโกรธประชาชาติมากที่อยู่อย่างสบายๆ เพราะเมื่อเราโกรธแต่น้อย เขาก็ก่อภัยพิบัติเกินขนาด
16. พระเจ้าจึงตรัสว่า เพราะฉะนั้น เรากลับมายังกรุงเยรูซาเล็มด้วยความกรุณา พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า จะต้องสร้างนิเวศของเราขึ้นไว้ในนั้นและขึงเชือกวัดไว้เหนือกรุงเยรูซาเล็ม