3. บรรดาคนที่เหลืออยู่จากครอบครัวร้ายนี้ ซึ่งตกค้างอยู่ในสถานที่ทั้งสิ้น ซึ่งเราได้ขับไล่เขาไป จะนิยมความตายยิ่งกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ พระเจ้าตรัสดังนี้
4. “เจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่าเมื่อมนุษย์ล้มลง เขาจะไม่ลุกขึ้นอีกหรือถ้าผู้หนึ่งผู้ใดหันไป เขาจะไม่หันกลับมาหรือ
5. ทำไมชนชาตินี้คือเยรูซาเล็มจึงได้หันไปเป็นการกลับสัตย์อยู่เป็นนิตย์เขายึดการหลอกลวงไว้มั่นเขาทั้งหลายปฏิเสธไม่ยอมกลับ
6. เราได้ตั้งใจและคอยฟังแต่เขาทั้งหลายก็พูดไม่ถูกต้องไม่มีคนใดกลับใจจากความอธรรมของตนกล่าวว่า ‘ฉันได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง’ทุกคนหันไปตามทางของเขาเองเหมือนม้าวิ่งหัวทิ่มเข้าไปในสงคราม
7. แม้ว่านกกระสาดำบนฟ้ายังรู้จักเวลากำหนดของมันและนกเขา นกนางแอ่นและนกกรอดได้รักษาเวลามาของมันแต่ประชากรของเราไม่รู้จักกฎหมายของพระเจ้า
8. “เจ้าจะพูดได้อย่างไรว่า ‘เรามีปัญญาและพระธรรมของพระเจ้าก็อยู่กับเรา’แต่ดูเถิด ปากกาโกงของพวกอาลักษณ์ได้กระทำให้พระธรรมเป็นคำมุสา
9. คนมีปัญญาจะได้รับความอายเขาจะคร้ามกลัวและถูกจับตัวไปนี่แน่ะ เขาได้ปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้าและปัญญาอย่างใดมีในตัวเขาเล่า
10. เพราะฉะนั้น เราจะให้ภรรยาของเขาตกไปเป็นของคนอื่นให้ไร่นาของเขาตกแก่ผู้ที่จะได้รับเพราะว่าตั้งแต่คนที่ต่ำต้อยที่สุดถึงคนที่ใหญ่โตที่สุดทุกคนโลภอยากได้กำไรตั้งแต่ผู้เผยพระวจนะถึงปุโรหิตทุกคนก็ทำการฉ้อเขา
11. เขาได้รักษาแผลแห่งประชากรของเราแต่เล็กน้อยกล่าวว่า ‘สวัสดิภาพ สวัสดิภาพ’เมื่อไม่มีสวัสดิภาพเสียเลย
12. เมื่อเขากระทำการน่าเกลียดน่าชังเขาละอายหรือเปล่าเลย เขาไม่ละอายเสียเลยทีเดียวเขาไม่รู้จักว่าอย่างไรจึงจะขายหน้าเพราะฉะนั้นเขาจะล้มลงท่ามกลางพวกที่ล้มแล้วเมื่อเราลงโทษเขาทั้งหลายเขาจะล้มคว่ำ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
13. พระเจ้าตรัสว่า เมื่อเราจะรวบรวมเขาก็เห็นว่าเถาองุ่นไม่มีผลหรือต้นมะเดื่อไม่มีผลถึงแม้ว่าใบก็เหี่ยวแห้งไปและสิ่งใดที่เราให้เขาก็อันตรธานไปจากเขา”