15. จงระวังให้ดีอย่าให้ใครเพิกเฉยต่อพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมา ทำความยุ่งยากให้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากเสียไป
16. อย่าให้ใครเป็นคนลามก หรือเป็นคนผิดธัมมะเหมือนอย่างเอซาว ผู้ได้เอาสิทธิของบุตรหัวปีนั้นขายเสีย เพราะเห็นแก่อาหารเพียงมื้อเดียว
17. เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่แล้วว่า ต่อมาภายหลังเมื่อเอซาวอยากได้รับพรนั้นเป็นมรดก เขาก็ได้รับคำปฏิเสธ เพราะเขาไม่มีหนทางแก้ไขเลย ถึงแม้ว่าได้กลับใจแสวงหาจนน้ำตาไหล
18. ท่านทั้งหลายไม่ได้มาถึงภูเขาที่จะถูกต้องด้วยมือได้ และถึงไฟที่ไหม้อยู่ และถึงที่มืด ถึงที่มืดมิด และถึงที่ลมพายุ
19. และถึงเสียงแตร และถึงพระสุรเสียงตรัส ซึ่งคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วได้อ้อนวอนขอไม่ให้ตรัสแก่เขาอีก
20. เพราะว่าข้อความที่ทรงบัญญัติไว้นั้นเขาทนไม่ได้ คือที่ว่า แม้แต่สัตว์ถ้าแตะต้องภูเขานั้นก็จะต้องถูกขว้างด้วยก้อนหินให้ตาย
21. สิ่งที่เห็นนั้นน่ากลัวจริงๆ จนโมเสสเองก็กล่าวว่า ข้าพเจ้ากลัวจนตัวสั่น
22. มิใช่เช่นนั้น แต่ท่านทั้งหลายได้มาถึงภูเขาศิโยน และมาถึงนครของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์ คือเทพนครเยรูซาเล็ม และมาถึงที่ชุมนุมทูตสวรรค์มากมายเหลือที่จะนับได้
23. และมาถึงที่ชุมนุมอันร่าเริงของบุตรหัวปี ผู้มีชื่อจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว และมาถึงพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาคนทั้งปวง และมาถึงวิญญาณจิตของคนชอบธรรม ซึ่งถึงความสมบูรณ์แล้ว
24. และมาถึงพระเยซูผู้กลางแห่งพันธสัญญาใหม่ และมาถึงพระโลหิตประพรมที่มีเสียงร้องอันเปี่ยมด้วยคุณ ไม่เหมือนเสียงโลหิตของอาแบล
25. จงระวังให้ดี อย่าปฏิเสธไม่ยอมฟังพระองค์ผู้ตรัสอยู่นั้น ถ้าเขาเหล่านั้นไม่พ้นโทษเพราะปฏิเสธ ไม่ยอมฟังพระดำรัสเตือนของพระองค์ที่ในโลก เราทั้งหลายผู้เมินหน้าจากพระองค์ผู้ทรงเตือนจากสวรรค์ ก็จะไม่พ้นโทษมากยิ่งกว่าเขาเหล่านั้นเสียอีก
26. พระสุรเสียงของพระองค์คราวนั้นได้บันดาลให้แผ่นดินหวั่นไหว แต่บัดนี้พระองค์ได้ตรัสสัญญาไว้ว่า อีกครั้งหนึ่งเราจะกระทำให้หวาดหวั่นไหว มิใช่แผ่นดินโลกแห่งเดียว แต่ทั้งท้องฟ้าด้วย