8. และคนยูดาห์ได้เข้าโจมตี เมืองเยรูซาเล็มและยึดเมืองได้ จึงฆ่าฟันชาวเมืองเสียด้วยคมดาบ และเอาไฟเผาเมืองเสีย
9. ภายหลังคนเผ่ายูดาห์ได้ลงไปสู้รบกับคนคานาอัน ผู้ซึ่งตั้งอยู่ในแดนเทือกเขาในเนเกบ และในที่เนินเชเฟลาห์
10. และยูดาห์ได้ไปสู้รบกับคนคานาอันผู้อยู่ในเฮโบรน (เมืองเฮโบรนนั้นแต่ก่อนมีชื่อว่า คีริยาทอาราบาห์) และเขาทั้งหลายได้ประหารเชชัย อาหิมาน และทัลมัย
11. เขาทั้งหลายยกจากที่นั่นไปสู้รบกับชาวเมืองเดบีร์ (เมืองเดบีร์นั้นแต่ก่อนมีชื่อว่า คีริยาทเสเฟอร์)
12. และคาเลบกล่าวว่า “ใครโจมตีเมืองคีริยาทเสเฟอร์และยึดได้ เราจะยกอัคสาห์บุตรสาวของเราให้เป็นภรรยา”
13. โอทนีเอลบุตรเคนัส น้องชายของคาเลบตีเมืองนั้นได้ ท่านจึงยกอัคสาห์บุตรสาวของตนให้เป็นภรรยา
14. อยู่มาเมื่อแต่งงานกันแล้ว นางจึงชวนสามี ให้ขอที่นาต่อบิดา นางก็ลงมาจากหลังลา คาเลบจึงถามนางว่า “เจ้ามามีเรื่องอะไร”
15. นางจึงตอบท่านว่า “ขอของขวัญให้ลูกสักอย่างหนึ่งเถิด เมื่อพ่อให้ฉันมาอยู่ในดินแดนเนเกบแล้ว ลูกขอน้ำพุด้วย” และคาเลบก็ยกน้ำพุบนและน้ำพุล่างให้แก่นาง
16. คนเคไนต์พ่อตาของโมเสสได้ขึ้น ไปจากเมืองดงอินทผลัม พร้อมกับคนยูดาห์มาถึงถิ่นทุรกันดาร ยูดาห์ซึ่งอยู่ในเนเกบใกล้อาราด และเขาก็เข้าไปตั้งอยู่กับชนชาตินั้น
17. และยูดาห์ก็ยกไปร่วมกับสิเมโอนพี่ของเขา ประหารคนคานาอันซึ่งอยู่ในเมืองเศฟัท และทำลายเมืองนั้นเสียอย่างสิ้นเชิง เขาจึงเรียกชื่อเมืองนั้นว่า โฮรมาห์
18. ยูดาห์ได้ยึดเมืองกาซาพร้อมทั้งอาณาเขต และเมืองอัชเคโลนพร้อมทั้งอาณาเขต และเมืองเอโครนพร้อมทั้งอาณาเขตไว้ด้วย
19. และพระเจ้าทรงสถิตกับยูดาห์ เขาจึงขับไล่ชาวแดนเทือกเขาออกไป แต่จะขับไล่ชาวเมืองที่อยู่ในที่ราบนั้นไม่ได้ เพราะพวกเหล่านั้นมีรถรบเหล็ก
20. เมืองเฮโบรนนั้นเขายกให้ คาเลบดังที่โมเสสได้กล่าวไว้ คาเลบจึงขับไล่บุตรชายทั้งสามคนของอานาค ออกไปเสีย