43. พวกเจ้าได้ขนเอาเต็นท์ของพระโมเลค และได้เอาดาวพระเรฟาน รูปพระที่เจ้าได้กระทำขึ้นเพื่อกราบนมัสการรูปนั้นต่างหาก เราจึงจะกวาดเจ้าทั้งหลายให้ไปอยู่พ้นเมืองบาบิโลนอีก
44. “บรรพบุรุษของเราเมื่ออยู่ในถิ่นทุรกันดารก็มีเต็นท์แห่งสักขีพยาน ตามที่พระองค์ทรงสั่งไว้ เมื่อตรัสกับโมเสสว่า ให้ทำเต็นท์ตามแบบที่ได้เห็น
45. ฝ่ายบรรพบุรุษของเราเมื่อได้รับเต็นท์นั้นจึงขนตามโยชูวาไป เมื่อได้เข้ายึดแผ่นดินของบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงขับไล่ไปให้พ้นหน้าบรรพบุรุษของเรา เต็นท์นั้นก็มีสืบมาจนถึงสมัยกษัตริย์ดาวิด
46. ดาวิดนั้นมีความชอบเฉพาะพระเจ้า และขอพระอนุญาตที่จะหาพระนิเวศสำหรับพระเจ้าของยาโคบ
47. แต่ซาโลมอนเป็นผู้ได้ทรงสร้างพระนิเวศสำหรับพระองค์
48. ถึงกระนั้นก็ดีองค์ผู้สูงสุดหาได้ประทับในพระนิเวศ ซึ่งมือมนุษย์ได้ทำไว้ไม่ ตามที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ว่า
49. ‘สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นรองเท้าของเรา เจ้าจะสร้างนิเวศอะไรสำหรับเรา หรือที่พำนักของเราอยู่ที่ไหน
50. สิ่งเหล่านี้มือของเราได้ทำไว้ทั้งสิ้นมิใช่หรือ’
51. “โอ คนชาติหัวแข็งใจดื้อหูตึง ท่านทั้งหลายขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านทำอย่างไร ท่านก็ทำอย่างนั้นด้วย
52. มีใครบ้างในพวกผู้เผยพระวจนะซึ่งบรรพบุรุษของท่านมิได้ข่มเหง และเขาได้ฆ่าบรรดาคนที่พยากรณ์ถึงการเสด็จขององค์ผู้ชอบธรรม บัดนี้ท่านทั้งหลายได้อายัดพระองค์ไว้และฆ่าเสีย
53. คือท่านทั้งหลายผู้ที่ได้รับธรรมบัญญัติจากเหล่าทูตสวรรค์ แต่หาได้ประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้นไม่”
54. เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้นก็รู้สึกบาดใจ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน
55. ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เขม้นดูสวรรค์เห็นพระสิริของพระเจ้า และพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์
56. แล้วท่านได้กล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าแหวกเป็นช่อง และบุตรมนุษย์ยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”