3. และได้ตรัสกับท่านว่า ‘เจ้าจงออกจากเมืองและญาติพี่น้องของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงให้เจ้า’
4. อับราฮัมจึงออกจากแผ่นดินของชาวเคลเดีย ไปอาศัยอยู่ที่เมืองฮาราน หลังจากที่บิดาของท่านสิ้นชีพแล้ว พระองค์ทรงให้ท่านออกจากที่นั่นมาอยู่ในแผ่นดินนี้ ที่ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ทุกวันนี้
5. แต่พระองค์ไม่ทรงโปรดให้อับราฮัมมีมรดกในแผ่นดินนี้ แม้เท่าฝ่าเท้าก็ไม่ได้และขณะเมื่อท่านยังไม่มีบุตร พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่า จะให้แผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน และเชื้อสายของท่าน
6. พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เชื้อสายของท่านจะไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ และชาวประเทศนั้นจะเอาเขาเป็นทาส และจะข่มเหงเขาเป็นเวลาสี่ร้อยปี
7. แล้วพระเจ้าตรัสว่า ‘และประเทศที่เขาปรนนิบัติอยู่นั้น เราจะพิพากษาลงโทษ ภายหลังเขาจะออกมาและปรนนิบัติเรา ณ สถานที่นี้’
8. พระเจ้าจึงได้ทรงตั้งพันธสัญญาพิธีเข้าสุหนัตไว้กับอับราฮัม เหตุฉะนั้นเมื่ออับราฮัมมีบุตรชื่ออิสอัค จึงให้เข้าสุหนัต6ในวันที่แปด อิสอัคมีบุตรชื่อยาโคบ และยาโคบมีบุตรสิบสองคนซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา
9. “ฝ่ายบรรพบุรุษเหล่านั้นคิดอิจฉาโยเซฟ จึงขายเขาไปยังประเทศอียิปต์ แต่พระเจ้าทรงสถิตกับโยเซฟ
10. ทรงโปรดช่วยให้พ้นจากความทุกข์ลำบากทั้งสิ้น ให้มีความชอบและมีสติปัญญาต่อพระพักตร์ฟาโรห์ กษัตริย์ของประเทศอียิปต์ ท่านจึงตั้งโยเซฟให้ครองประเทศอียิปต์ กับทั้งพระราชสำนักของท่าน
11. แล้วบังเกิดการกันดารอาหารทั่วแผ่นดินอียิปต์ และแผ่นดินคานาอัน และมีความลำบากมาก บรรพบุรุษของเราจึงไม่มีอาหาร
12. ฝ่ายยาโคบเมื่อได้ยินว่ามีข้าวอยู่ในประเทศอียิปต์ จึงใช้บรรพบุรุษของเราไปเป็นครั้งแรก
13. พอคราวที่สองโยเซฟก็แสดงตัวให้พี่น้องรู้จัก และฟาโรห์ก็ทรงรู้จักญาติของโยเซฟด้วย
14. ฝ่ายโยเซฟจึงได้เชิญยาโคบบิดากับบรรดาญาติของตนเจ็ดสิบห้าคนให้มาหา
15. ยาโคบได้ลงไปยังประเทศอียิปต์ แล้วท่านกับพวกบรรพบุรุษของเราได้สิ้นชีพ ณ ที่นั่น
16. เขาจึงได้นำศพไปฝังไว้ในเมืองเชเคม ในอุโมงค์ที่อับราฮัมเอาเงินจำนวนหนึ่ง ซื้อจากบุตรของฮาโมร์ในเชเคม
17. “ใกล้เวลาตามพระสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ตรัสกับอับราฮัม ชนชาติอิสราเอลได้ทวีมากขึ้นในประเทศอียิปต์
18. จนกระทั่งกษัตริย์องค์หนึ่งซึ่งไม่รู้จักโยเซฟ ได้ขึ้นเสวยราชย์ในประเทศอียิปต์