3. หรือเมื่อสตรีคนหนึ่งคนใดบนไว้แด่พระเจ้า และผูกมัดตัวเองไว้ด้วยคำสัญญาวิรัต เมื่อเธอยังสาวอยู่ในเรือนของบิดา
4. และบิดาของเธอได้ยินคำที่เธอบนไว้ และคำสัญญาวิรัตที่เธอผูกมัดตัวเองแต่มิได้พูดอะไรกับเธอ ก็ให้คำที่บนไว้นั้นคงอยู่ และให้คำสัญญาวิรัตที่ผูกมัดเธอไว้นั้นคงอยู่
5. แต่ถ้าบิดาของเธอคัดค้านในวันที่เขาได้ยินนั้น การที่เธอบนไว้ก็ดี คำสัญญาวิรัตที่ผูกมัดเธอไว้ก็ดี ย่อมไม่คงอยู่ และพระเจ้าจะอภัยให้แก่เธอ เพราะบิดาของเธอได้คัดค้านเธอไว้
6. และถ้านางแต่งงานมีสามีแล้ว สิ่งที่นางบนไว้หรือคำพูดที่ไม่ทันคิดซึ่งผูกมัดนาง
7. ฝ่ายสามีก็ได้ยินแล้ว และในวันที่ได้ยินเขาก็มิได้พูดอะไรกับนาง สิ่งที่นางบนไว้นั้นย่อมคงอยู่ และคำสัญญาวิรัตที่ผูกมัดตัวนางก็คงอยู่ด้วย
8. แต่ถ้าในวันนั้นที่สามีมาได้ยินเข้าและเขาคัดค้าน ก็ทำให้คำที่นางบนไว้นั้นเป็นโมฆะ ทั้งคำพูดที่ไม่ทันคิดของนางซึ่งผูกมัดนางนั้นก็เป็นโมฆะด้วย และพระเจ้าจะทรงอภัยให้แก่นาง
9. แต่คำบนบานที่แม่ม่ายหรือแม่ร้างกระทำไว้ หรือคำใดที่นางพูดผูกมัดตนเอง คำพูดนั้นย่อมคงอยู่
10. และถ้านางบนไว้ในบ้านสามีของนาง หรือให้สัญญาวิรัตด้วยสัตย์สาบานผูกมัดตนเองไว้
11. และสามีของนางได้ยินแล้ว แต่ไม่ว่าอะไรแก่นาง และไม่คัดค้านนาง คำบนบานของนางทั้งสิ้นย่อมคงอยู่ และคำสัญญาวิรัตทุกอย่างซึ่งนางผูกมัดตัวเองย่อมคงอยู่
12. แต่ถ้าสามีของนางได้กระทำให้ไม่คงอยู่หรือเป็น โมฆะในวันที่เขาได้ยินแล้ว สิ่งใดที่ออกจากปากของนางเกี่ยวด้วยคำบนบาน หรือเกี่ยวด้วยคำสัญญาวิรัตของนางย่อมไม่คงอยู่ สามีของนางได้กระทำให้เป็นโมฆะ และพระเจ้าจะทรงอภัยให้แก่นาง
13. คำบนบานหรือคำสัตย์สาบานที่จะบังคับจิตใจนางเอง สามีของนางย่อมให้คงอยู่หรือเป็นโมฆะได้
14. แต่ถ้าสามีของนางไม่กล่าวสิ่งใดแก่นางวันแล้ววันเล่า เขาย่อมกระทำให้คำบนบานและคำสัญญา วิรัตทั้งสิ้นของนางซึ่งจะตกแก่นางให้คงอยู่ เพราะเขาไม่พูดสิ่งใดในวันที่เขาได้ยิน เขาจึงกระทำให้คงอยู่
15. แต่ถ้าภายหลังที่เขาได้ยิน แล้วมากระทำให้ไม่คงอยู่หรือเป็นโมฆะ เขาย่อมต้องรับความผิดของนาง”
16. ข้อความเหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์ซึ่ง พระเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้ เป็นเรื่องระหว่างชายกับภรรยาของเขา เรื่องระหว่างบิดากับบุตรี ขณะเมื่อเธอยังสาวอยู่ ยังอยู่ในเรือนบิดาของเธอ