7. ครั้นล่วงมาได้สี่สิบปี อับซาโลมกราบทูลพระราชาว่า “ขอโปรดทรงอนุญาตให้ข้าพระบาทไปแก้บนที่เมืองเฮโบรน ซึ่งข้าพระบาทได้บนไว้ต่อพระเจ้า
8. เพราะว่าข้าพระบาทได้บนไว้เมื่อ ครั้งยังอยู่ในเมืองเกชูร์ประเทศซีเรียว่า ‘ถ้าพระเจ้าทรงโปรดนำข้าพระองค์มา ยังกรุงเยรูซาเล็มจริงแล้ว ข้าพระองค์จะถวายนมัสการพระเจ้า’ ”
9. พระราชาตรัสตอบท่านว่า “จงไปเป็นสุขเถิด” ท่านก็ลุกขึ้นไปยังเมืองเฮโบรน
10. แต่อับซาโลมได้ส่งผู้สื่อสารไป ทั่วอิสราเอลทุกเผ่าว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินเสียงเขาสัตว์เมื่อไร จงกล่าวกันว่า ‘อับซาโลมเป็นกษัตริย์ที่กรุงเฮโบรน’ ”
11. มีชายสองร้อยคนไปกับอับซาโลมจากกรุงเยรูซาเล็ม เป็นคนที่ถูกเชิญให้ไป คนเหล่านี้ก็ไปกันเฉยๆ หาทราบเรื่องอะไรไม่
12. ขณะเมื่ออับซาโลมถวายสัตวบูชาอยู่ ท่านส่งคนไปเชิญอาหิโธเฟลชาวกิโลห์ที่ ปรึกษาของดาวิดมาจากนครของเขา คือกิโลห์ การที่คบคิดกันนั้นก็เพิ่มกำลังขึ้น คนที่มาฝักใฝ่อยู่กับอับซาโลมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
13. ผู้สื่อสารคนหนึ่งมาเฝ้าดาวิดกราบทูลว่า “ใจของคนอิสราเอล ได้คล้อยตามอับซาโลมไปแล้ว”
14. แล้วดาวิดรับสั่งแก่บรรดาข้าราชการที่อยู่กับพระองค์ ณ เยรูซาเล็มว่า “จงลุกขึ้นให้เราหนีไปเถิด มิฉะนั้นเราจะหนีไม่พ้นจากอับซาโลมสักคนเดียว จงรีบไป เกรงว่าเขาจะตามเราทันโดยเร็วและนำเหตุร้ายมาถึงเรา และทำลายกรุงนี้เสียด้วยคมดาบ”
15. ข้าราชการของพระราชาจึงกราบทูลพระราชาว่า “ดูเถิด ข้าพระบาทพร้อมที่จะกระทำตามสิ่งซึ่งพระราชาเจ้านาย ของข้าพระบาทตัดสินพระทัยทุกประการ”
16. พระราชาก็เสด็จออกไปพร้อมกับคนในราชสำนัก ของพระองค์ด้วย เว้นแต่นางสนมสิบคนได้ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวัง
17. พระราชาก็เสด็จออกไป พลทั้งสิ้นก็ตามพระองค์ ไปและเสด็จประทับที่บ้านสุดท้าย
18. บรรดาข้าราชการทั้งสิ้นเดินผ่านพระองค์ไป บรรดาคนเคเรธีและคนเปเลท กับคนกัทหกร้อยคนที่ติดตามพระองค์มาจากเมืองกัท ได้เดินผ่านพระราชาไป
19. พระราชาจึงตรัสสั่งอิททัยคนกัทว่า “ทำไมเจ้าจึงไปกับเราด้วย กลับเถิดไปอยู่กับพระราชา เจ้าเป็นแต่คนต่างด้าว และถูกเนรเทศมาด้วย จงกลับไปบ้านเมืองของเจ้าเถิด